วันที่ 8 เดือน 8 ปี 58
จะมารีวิวการเที่ยวเมือง “นครชัยศรี” นะคะ ความจริงก็ไม่เชิงรีวิว เป็นบันทึกการเดินทางมากกว่า
อันดับแรกแนะนำตัวก่อน เจ้าของบล็อก ชื่อแฟลช เรียนปี 4 มศว พักอยู่ห้วยขวาง พอดีมีเพื่อนเรียนมอศิลปากรชื่อแพร โทรมาเมื่อวานว่าจัดทริปหน่อย เลยวางแผนคืนนั้น แล้ววันรุ่งขึ้นก็เดินทางเลย
ภาพคือห้วยขวางตอน 6 โมงเช้านะคะ คนกำลังเก็บร้าน
รอรถเมล์สักพักรถเมล์ก็มา ปอ 36
พอถึงอนุสาวรีย์ก็เดิน ๆ ๆ ไปขึ้นรถตู้ใต้ทางด่วนไปนครปฐม ลงหน้ามอ 60 บาทค่ะ อยากบอกว่าบริเวณการจัดรถตู้เป็นระเบียบมากกว่าปี 55 เยอะเลย
พอขึ้นนั่งรถตู้ รอแป๊บเดียวรถก็ออกค่ะ แล้วเราก็นั่งดูทางไปเรื่อย ๆ วันนี้อากาศดีแถมรถก็ไม่ค่อยเยอะค่ะ วิ่งแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงนครปฐมแล้ว
สังเกตถุงเท้าคนละสี เพราะคู่ของทั้งสอง อยู่บ้านที่อุบล ฮ่า ๆ นั่งรอเพื่อนมารับหน้ามอศิลปากร รถเยอะ คนเยอะ จะพากันเข้ากรุงกัน
แพรมารับแล้ว แต่ยังไม่อาบน้ำเลย ฮ่าๆ เรามาเร็วไปมั้ง เลยซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งไปกินกัน ไม้ละ 5 บาท ข้าวเหนียวก็ถุงละ 5 บาท ถ้าเป็นชาวนครปฐมจริง ๆ ทำมาค้าขายอะไรก็พอจะอยู่ได้แน่ ๆ ค่ะ นักศึกษาเยอะ และหอพักเนี่ยก็เต็มไปหมดทาฝั่งตรงข้ามมหาลัย คนเยอะมาก
วันนี้เราจะขับรถมอไซของเดียร์ เพื่อนของแพร (เดียร์ไปเวิร์กที่สหรัฐ) ไม่ได้บอกเดียร์ด้วย ฮิฮิ
ก่อนออกสตาร์ทก็ต้องเตรียมความพร้อมของเครื่องหน่อย เติมน้ำมันและเติมลมครับ
การเริ่มต้นที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง (พูดอย่างกะจะไปรบ) พอดีว่า จขบ วางแผนให้เริ่มต้นจากทางระหว่างพระปฐมเจดีย์กับสถานีรถไฟนครปฐม เพราะว่าเส้นทางนี้ตรงไปเรื่อยๆประมาณ 20 กิโล ก็ถึงนครชัยศรีเลย โดยที่เราไม่ต้องไปยุ่งกับถนนใหญ่ให้หวาดเสียวเล่น (เพชรเกษม)
ระหว่างทาง ตอน 9 โมงเช้า ถนนเรียบทางรถไฟ บรรยากาศดี แถมเป็นหน้าฝนด้วย หญ้าและต้นไม้สองข้างทางเขียวขจี เลยทำให้เรามีความสุขกับการขับรถไปเรื่อย ๆ คุยกันไปเรื่อย ๆ
ขับมาสักหน่อย เราสองคนก็แวะถ่ายรูปเล่นอินดี้ ๆ ที่ท่าแฉลบ สถานีรถไฟถัดมาจาก สถานีต้นสำโรง ซึ่งเราไม่เห็น เขาบอกว่าสวมหมวกแล้วปลอดภัย ที่ถืออยู่ในมือ คือ สมุดที่ใช้วางแผนการเดินทาง ซึ่งการแวะมาถ่ายรูปที่สถานีรถไฟท่าแฉลบ ไม่มีในแผน 555 บอกแล้ว ทริปนรก ถึงหอแล้วเหนื่อยโฮก ขอเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา กับสองสาวนรกแตก
และจุดที่สอง ที่ก็ไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้ แค่ จขบ ดูดาวเทียมมา เห็นว่าวัดนี้ก็ใหญ่ดีนะ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะแวะ แต่พอขับผ่านเท่านั้นแหละ แพร ๆ แวะ ๆ เลยต้องวนรถกลับ ดีค่ะ
วัดชื่อ “วัดศีรษะทอง” มีจุดเด่นคือการไหว้พระราหู มีตลาดตั้งอยู่ภายในเขตวัดด้วยค่ะ คนมาไหว้พระราหูเยอะดีค่ะ เราก็ทำการบูชาธูปและดอกไม้ดำ แล้วเราก็จะขึ้นไปไหว้กัน เห็นเขาวางรองเท้าได้เก๋ดีเลยถ่ายรูปเป็นที่ระลึก การไหว้พระราหู สงสัยมีความเชื่อว่าต้องไหว้ด้วยของดำซึ่งที่วัดก็มีการจัดของไหว้ให้ทั้งหมด 8 อย่าง 300 บาท เราไม่ได้ไหว้ด้วยของดำนะคะ ไม่มีตังค์เยอะ ทริปเล็ก ๆ ของเด็กปี 4 ค่ะ จุดธูป จุดธูป สังเกตเห็นว่าไม่มีเทียนดำเนอะ มีแต่ธูป สงสัยเทียนจะสว่างเกิน พระราหูคงไม่ชอบ ปิดทองพระราหู แพรทำการทำบุญตักบาตรสตางค์ ๑๐๘ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสตางค์ ๑๐๘ หมายความว่าอะไร
เอ้ามีบอกปีที่ดีด้วย แต่วัดในกรุงเทพส่วนใหญ่บอกแต่ปีชง วันนี้ดีนะคะเนี่ย โบสถ์วัดด้านหลังก็สวยค่ะ ต้องไปดูๆ เดินผ่านเลยแวะลูบ ก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะเขาบอกว่าลูบแล้วจะมีเสียงดังกังวาล โกหกกันป่าว ^^ ลูบแล้วต้องล้างมือ แล้วเจอก็อกน้ำเก๋ ๆ ไม่ต้องเดินไปเปิดไกลๆ เพราะให้ที่เปิดอยู่ที่ปลายสายแบบนี้เลย ก็ดีเหมือนกันนะคะ เดี๋ยวต้องเอาไปใช้ สวยเนอะ ข้างหลังอ่ะ คนก็สวย ฮ่าๆๆ ดิฉันนางสาวชลพิชา แพร ผู้ประกวดหมายเลย ๑ ฟ้าไทยส่งเข้าประกวดค่ะ ^^ คาดว่าตัวโบส์ทั้ง 4 หลังนี้พึ่งสร้างเมื่อไม่นานมานี้ เพราะแอบแง้ม ๆ ดูด้านใน ยังไม่มีอะไรเลย แถมมีเครื่องมือช่างวางอยู่เลย ขอแนะนำว่าระวังขี้นกพิราบนะครับ เยอะมากๆ แวะเข้าห้องน้ำใหม่ภายในวัด ทั้งสะอาดและดีมาก เลยอยากรู้จังว่าใครที่มีศรัทธาสมทบสร้างห้องน้ำ วัด และโบสถ์ใหม่นะ ขออนุโมธนากับทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
พอเราสองคนขี่มอไซออกมาจากวัดสักหน่อยก็แวะอีกแล้ว นอกแผนครั้งที่ ๓ แวะสถานีนครชัยศรี แวะถ่ายรถไฟ ๓ ตู้ น้อย ๆ
มีคนลงสถานีนี้ด้วย ๑ คนพี่…ขาพี่รู้ไหมฉันรอพี่ที่ชานชาลาทุกวันเลยนะ
เข้าสู่เขตเทศบาลตำบลครชัยศรีแล้ว ใกล้ถึงที่หมายแรก ที่วางแผนตอนแรกแล้ว ฮ่า ๆ ๆ แวะพักไปสะเยอะเชียว นั่นคือ “เจษฎาเทคนิค มิวเซียม” ตรงนี้คือออเดิฟนะคะ เป็นหัวรถไฟเก่า แต่เราต้องขับไปอีกสักพักถึงจะเจอของจริง ระวังตกนะแพร ตก ลง รัก ฮ่าๆๆ มองแว๊บแรกนึกว่าบนเครื่องบิน ฮุฮุ โอ้ เย้ ที่ไม่ถอดหมวก ไม่ใช่จะทำตามพี่คู่รักบิ๊กไบท์นะคะ ขี้เกียจถอด ^^ หนูจะไปลอนดอน ไปเรียนเวทมนกับแฮรี่ ตอนแรกเราก็ขึ้นไปละ มารู้ทีหลังว่าไม่ให้ขึ้น (เวรแท้) แต่ จนท ก็ไม่เห็นนะ พอดีถาม จนท อะ เลยรู้ว่าไม่ให้ขึ้น (ด้วยความมึน) “เข้าชมฟรีค่ะ เชิญลงทะเบียนด้วยนะคะ แต่มีกฎสามข้อนะคะ สามารถถ่ายรูปได้ ห้ามเปิดประตูรถ และในส่วนที่มีเชือกกั้นก็ห้ามเข้านะคะ” ให้ชมรูปไปเพลิน ๆ นะคะ เหนื่อยบรรยายภาพ เราสองคนลงมติว่าชอบคุณตาคุณยายคู่นี้ค่ะ ถึงท่านสองคนจะแก่แล้วแต่ก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้และออกเดินทางพบเจอสิ่งใหม่ๆ ขอแบบนี้สองคัน จักรยานไฟฟ้า นักเรียนมาทัศนศึกษา ตอนเราเรียนมัธยมนะ คุณครูชอบพาไปแต่สอบ ไม่ค่อยไปทัศนศึกษาหรอก เฮ้อๆๆๆเดินคุยเดินดูจนเหนื่อย ออกมาอีกทีรถบัสลอนดอนก็หายไป สงสัยไปส่งแฮรี่เข้าโรงเรียน
เราอยู่ที่ไหนนะเนี่ย นั่นคือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก อยู่ไม่ไกลกันจากเจษฎา เทคนิคมิวเซียมค่ะ ขับมอไซได้สบาย ๆ ดูสิมีมอไซอยู่คันเดียว ไม่ค่อยมีใครขับมอไซมาเที่ยวจริง ๆ แพรนึกว่าถ่ายบัตรประชาชน ราคาตามนี้นะคะ สบายๆ การจัดแสดงศิลปะครั้งนี้มีด้วยกันหลายชิ้นเลยค่ะ และจัดเป็นสัดส่วนดีค่ะ โดยแยกนกฮูกเป็นประเภทไว้ เช่น โลหะ พลาสติก ภาพวาด หนัง ไม้ เป็นต้นค่ะ เราก็เดินดูกันไปเรื่อยๆ เจอตัวไหนน่ารักก็เรียกกันดู จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นนกฮูกตัวจริงหรอกค่ะ คงน่ารักน่าดู ฝั่งตรงข้ามส่วนจัดแสดงมีจำหน่ายของที่ระลึกด้วย มีทั้งราคาพอเหมาะกับราคาแพง ไม่เห็นราคาถูกนะคะ แต่ถึงจะบ่น แฟลชก็ได้กระเป๋าน้อย ๆ มาใบนึง เชือดตัวเองนิ่ม ๆ
เมื่อเข็มนาฬิกาเดินทางบอกเวลาว่าเที่ยงแล้วเราสองคนก็แว๋น ๆ ออกจาก พพธภ นกฮูก มาแวะ “ตลาดท่านา” ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนะคะ เดี๋ยวโชว์แผนที่ตอนท้ายให้ว่าแต่ละที่ห่างกันประมาณไหน ซึ่งตลาดท่านาอยู่ริมแม่น้ำท่าจีนเลย มีอาหารให้เลือกเยอะดีค่ะ แต่ก็ติดที่ว่างบน้อยอีก ก็เดิน ๆ ไปก่อนนะ ได้กินน้ำมะพร้าวแก้วนึง 8 บาท เราสองคนพอเดินไปเรื่อย ๆ ก็เข้ามากินข้าวร้านนี้ “ลิ่มเซียงเฮง” เราสองคนสั่ง “กระเพราเป็ด” อร่อยมาก จขบชอบมาก ไม่รู้เเพรจะชอบป่าว เพราะว่าบังคับเพื่อนมา 555 ตอนแรกเข้าอีกร้านค่ะ แต่ร้านนั้นไม่มีข้าวเลยเปลี่ยน ทั้งที่แพรก็สั่งก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว สองสาวนรกแตก เริ่มตีกัน ฮ่าๆๆ คิดว่าที่ตลาดนี้คงมีเป็ดตุ๋นเป็นที่ขึ้นชื่อ ไปเมืองส้มโอแต่ไม่ได้กินสักแอะ ขายแพ็กใหญ่ไปอะ 100 นึง ไม่กล้าซื้อ กลัวไปอร่อยและแพง บวกกับเยอะไปสำหรับสองคน ขายสัก 30 50 น่าจะโอเค แลนมาร์ก ร้านขายเฟอนิเจอร์สุดหรูและออกแนวคลาสสิกมากมากอย่างร้านนี้ก็สวยมากค่ะ ใจดีให้ถ่ายรูปฟรีด้วย หลายชิ้นติดป้ายว่าถูกขายไปแล้ว ราคาก็ไม่เบาเลยค่ะ หลายหมื่นบาทแพรซื้อกล้วยเชื่อมทอดเจ้าอร่อยมากล่องละ 25 บาทเท่านั้นแพรบอก อร่อยจริงๆค่ะ ลักษณะแพ็กเกจก็เก๋ ๆ
พอเราออกจากตลาดท่านาก็แอบแวะเข้า”วัดกลางบางพระ” แต่ไม่ได้ถ่ายโบสถ์ ถ่ายบ้านหลังนี้มา พอดีว่าวัดพึ่งจัดตลาดนัดไป เลยสกปรกไปนิด เราก็เลยขับรถวน ๆ แล้วก็ออกสู่เส่นทางไปจุดหมายสุดท้าย นั่นคือ”พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง” ระหว่างทางไป “พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง” ซึ่งเป็นถนนสายหลัก “ถนนบรมราชชนนี” เสียวตูดมาก รถใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ขากลับเลยถามทางพี่พนักงานว่าจะกลับแอบแอบไปยังไงไม่อยากขับบนถนนใหญ่ เลยได้ทางใหม่ที่เป็นทางซอกแซกแต่ปลอดภัยมาค่ะ ขอพักก่อน กินขนมให้อิ่มเพิ่ม หลังขับรถมาเหนื่อย ๆ (หึหึ ไม่ไกลเท่าไหร่นะได้ข่าว) อ้อ ขอเล่านิดนึง เมืองนครชัยศรีเป็นเมืองที่มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านทำให้มีเรือขนส่งขนาดใหญ่และนอกจากนั้นยังมีโรงงานที่ตั้งอยู่สองข้างทางที่ขับผ่านมา ทั้งดัสมิว ซึ่งใหญ่มาก น้ำมันพืชไทย และอื่น ๆ ที่ไม่รู้ว่าคือโรงงานอะไรด้วย หลายคนอาจจะคุ้นชื่อเมืองนี้ ทั้งที่ไม่เคยมาเหมือนเจ้าของบล็อก พอกินและพักเหนื่อยจนพอแล้ว ก็ไปซื้อบัตรเข้าชมที่ตั้งอยู่แยกจากตัวอาคารจัดแสดงค่ะ ราคาผู้ใหญ่ก็ 70 บาทค่ะ รูปคู่รูปแรกของวัน ไปญี่ปุ่นมาค่ะ กำลังจะเข้าไปแล้วนะคะ เดินผ่านไปตอนแรกลุงแกเนียนมาก ไม่คิดว่าเห็นหุ่นเลย นึกว่าคนจริงๆ เดินผ่านไปเฉย พอหันหลังกลับมาคุยกันถึงกับตกใจ อ้าวลุงเป็นหุ่นนี่ จนต้องเดินกลับมาขอถ่ายรูปด้วยเลย พระพุทธเจ้าและเหล่าปัญจักวัคคีทั้ง ๕ เขียนไงก็ไม่รู้นะ เดาๆ ขี้เกียจหาละ งือๆ ปวดไหล่ พิมพ์เยอะ อาหาร ง่วง เหงา หาว นอน ในตอนบ่าย หนูพึ่งทำโครงงานเรื่องการเดินม้ามาค่ะ แต่ตัวอื่นเดินไม่เป็น ห้องใหญ่และเย็นดีค่ะ สวยมากมาก คนปั้นนี่เก่งจริงๆ ครู… จงเติมคำ มหาต…. … จงเติมคำ อับบรา…… ……. จงเติมคำ นายกอังกฤษอะ จำชื่อไม่ได้ คนนี้เขาว่าสุดยอด อีอีอ้าวอาน…. การละเล่นนี้ชื่อว่าอะไร จู้จี้ป่าวนะ หัวล้านชนกัน ท่านสุนทรภู่ ท่านขงจื้อ ข้าน้อยขอคารวะ ขายลูกสาว คนปั้นก็ปั้นสีหน้าได้ดีมาก สื่อถึงความรู้สึกได้ดีมาก โดนเฆี่ยนมา รูปคู่ที่ ๒ กับสถานที่เที่ยวสุดท้ายที่วางแผนไว้ พอเราสองคนกะเดินไปดูการจัดซุ้มขายของที่อยู่ข้างๆอาคารก็มาเจอการสอนปั้นหม้อ เรามาเที่ยวทั้งทีก็ลองปั้นเล่นหน่อย 70 บาทไม่แพงเมื่อแลกกันประสบการณ์ใหม่ๆ ขั้นตอนแรก เสร็จแล้ว งานชิ้นเอกของแพร ฮ่าๆ กำลังเขียนชื่อ ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ ก็อบคำโฆษณาขายผงซักฟอก ที่คลายนิ้ว 20 บาท กลับมาถ่ายสะพานรวมเมฆที่ตลาดท่านาอีกครั้ง และลงทุนขี่รถย้อนกลับมาถ่ายรูปจุดนี้เลย ตอนนั่งรถผ่านเห็นว่าสวยดี เลยบอกแพรขับไปนี่อีกหน่อย บ้านที่สื่อถึงวิถีชีวิตของคนกับน้ำ กลับละๆA : อ้าวไหนว่าจะกลับละ ยังจะแวะอีก
B : ที่สุดท้ายแล้วสาบาน เราแอบหาที่ขึ้นทางรถไฟได้ก็เดินลัด ๆ มาก แต่แพรดูเหมือนนำเต้น ฮ่าๆๆ สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำท่าจีน ของอำเภอนครชัยศรี มีสองสะพาน และไม่เหมือนกันด้วยทั้งขนาดและรูปแบบ โว่ย เหนื่อย แต่สวยนะ หมายถึงคนรีวิวน๊าาา ฮ่าๆๆๆ แฟลชระวังรถไฟมากเลย กลัว เพราะคิดว่ารถไฟเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเสียง พี่ชาย ฉันหนาว รถไฟรางคู่ชัดๆ หมดแล้ว ๆ แวะเข้าชุมชนซื้อน้ำเปล่าแล้วก็เดินทางกลับนครปฐม เหนื่อยโฮก ขากลับเนี่ยนั่งจนขาและตูดชาไปตามๆกัน เพราะไม่ลงแวะที่ไหนเลย พอถึงที่หอเเพรก็ประมาณสี่โมงครึ่ง ก็นอนราบเลย กระจายพื้นที่รองรับน้ำหนัก สบายขึ้นหน่อย ขากลับเราก็กลับทางเดิมนั่นแหละชิวๆตามเดิม พอหกโมงแพรก็มาส่งขึ้นรถตู้คิดดูว่าขึ้นรถตู้หกโมง รถออก ทุ่มนิด ๆ จากคิวบิ๊กซี ถึงอนุสามทุ่ม รถติดมาก ติดก่อนถึงสะพานพระปิ่นเกล้า 17 กิโล ติดยาวๆ นี่วันเสาร์นะ ใครไปไหนมา เยอะแยะไปหมด ขาไป ชั่วโมงเดียวขากลับ สอง ชั่วโมง ถึงกลับนอนแช่มาเลย
แต่วันนี้ก็ทั้งอิ่มที่ได้เจอเพื่อน ทั้งนุ้ยและแพร และอิ่มกับการเที่ยวและกินในอำเภอนครชัยศรี อำเภอที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน และเส้นทางที่ใช้เดินทางวันนี้นี้ก็ไม่ได้มีใครแนะนำมา คิดเองเพราะกลัวรถเยอะในถนนสายหลักเลยเลือกทางนี้ แต่ก็เอาสถานที่ต่างๆที่คนรีวิว มาสุมๆรวมกัน จนทำให้ร่างแทบพังเมื่อกลับมาถึงจุดเริ่มต้น แถมรีวิวในวันที่เที่ยวเลย
แค่อยากบอกทุกคนว่า ออกเดินทางเถอะนะคะ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ดูตัวอย่างจากคุณตาคุณยายคู่นั้นสิ ท่านไม่ได้คิดว่าท่านแก่แล้ว รู้เยอะแล้ว ไม่อยากรู้อะไรแล้ว เพราะท่านทั้งคู่ยังออกมาใช้ชีวิตด้วยกัน มาเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ ด้วยกัน แล้วเรา ที่ยังพอมีแรงที่จะออกเดินทางมากกว่าท่านตั้งเยอะ ทำไมเราจะไม่ออกจากจุดเดิม ๆ ของเราละคะ
ไปใช้ชีวิตข้างนอกกัน OutSide LiFe กับแฟลชน๊าา
ภาพแผนที่ไม่ค่อยชัด สรุปคือ เที่ยวทั้งหมด ๙ ที่ คือ
๑. สถานีท่าแฉลบ ๒. วัดศีรษะทอง ๓. สถานีนครชัยศรี ๔. เจษฎา เทคนิค มิวเซียม (รถเก่า) ๕. พิพิธภัณฑ์ศิลปะนกฮูก ๖. ตลาดท่านา ๗. วัดกลางบางแก้ว ๘. หุ่นขี้ผึ้งและ ๙. สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำท่าจีนค่ะ
ถ้าเป็นผู้ชายฉันจะจีบแก ถถถถถถ